ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวจากฟอร์เวิดเมล์  (อ่าน 743 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

country

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องราวจากฟอร์เวิดเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2009, 11:04:03 am »
  • Publish
  • Publish
  • ที่มาจากฟอร์เวิดท์เมล์

    'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'

          เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
    พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
    ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
    ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
    แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

        'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'

        'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'
    ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ
    สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
    จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
    และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
    แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
    มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
    ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

    เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
    เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
    ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
    แม่จึงเดินเข้าไปถาม

    'พี่หนอม มีไรหรอคะ'

    'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
    พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย'
     
    พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
    และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
     
    'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'
     
    แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
     
    'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
    พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
    ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'

    ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
    ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
    แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
     
    'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
    แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'

    ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
    แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
    ?ต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
     
    'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'

    แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

    'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'

    เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

    'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...'

    แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก
    คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
     
    'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
    น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า
    แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง
    กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย'

    แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม
    พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

    หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

    'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'

    แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

    'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย
    อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม
    แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'

    'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'

    ฉันถามต่อ  แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
     
    'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก
    จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท
    ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี
    ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
    เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'

    ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
     
    'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'
     
    'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

    'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน
    บ้านป้าหนอมเขานะแม่'

    'ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
    ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
    แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'

    แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

    'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
    อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
    รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'

    แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

    'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง
    คน เราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'

    หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้
    ี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก
    ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


    หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏ
    แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
    ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
    หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน
    แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
    แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง
    ยอมตามใจแม่

    ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก
    ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม
    เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่
    ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก
    มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
    จะได้หายเร็วๆ
     
    หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
    ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
    แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
    ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

    ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
    ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า
    โรงพยาบาลต่างจังหวัด

     หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
    ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
    มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ
    เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง
    ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า
    โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก
    ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
     
    ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
    หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
    แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ
    อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ
    ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้

    หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
    โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด
    จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
    ค่อนข้างสูง  เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
     
    ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
    ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

     หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
    ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล
    บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

     ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า
    เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
     
    ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า
    คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ

    ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
    ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
    ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่

    โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
     
    เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น

    เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน


     
    เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
     
         ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร  ภู่จันทร์
     ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
            ค่าผ่าตัด                          0 บาท
            ค่ายาทั้งหมด                      0 บาท
            ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ                0 บาท
            รวมเป็นเงินทั้งหมด                0 บาท
     ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
     ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
     
                                  นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร



     


    Facebook Comments